เมื่อราว ๕๐ ปีผ่านมาที่ลพบุรี สมัยที่บ้านเมืองยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ทำนาเลี้ยงชีวิต
ณ เชิงเขาสะพานนาค มีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้านมีกระต๊อบหลังคามุงแฝกหลังหนึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของ ๔ ชีวิต มีหญิงชราผู้เป็นแม่ ลูกชาย - ลูกสะใภ้ และหลานน้อย ลูกชายชื่อทองเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหร้าย มุทะลุดุดัน ชอบเล่นการพนัน ติดสุรายาเสพติด วันๆการงานไม่ทำเอาแต่ดื่มสุราหาเล่นการพนัน แม่กับเมียจะลำบากอย่างไรก็ช่าง
ผู้เป็นเมียจึงออกไปทำไร่หาเลี้ยงครอบครัวทุกวันปล่อยให้แม่ผัวกับลูกน้อยเฝ้าบ้าน เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง ย่ากับหลานอยู่ด้วยกันสองคน ย่าแก่แล้วจึงงกๆเงิ่นๆด้วยความชราตามหลานไม่ค่อยจะทัน หลานน้อยก็แสนซนคอยลักหนีไปเที่ยวอยู่เรื่อย
ตะวันบ่ายคล้อยผู้เป็นย่าจัดแจงเข้าครัวหุงหาอาหารไว้คอยลูก ย่ากำลังทำครัวเพลินหลานน้อยได้โอกาสหนีไปเล่นน้ำในโอ่งข้างล่าง น้ำมีเพียงครึ่งโอ่งหลานน้อนจอมซนจะตักน้ำมาเล่นแต่ตักไม่ถึงจึงปีนปากโอ่งพยายามตักน้ำให้ได้ บังเอิญพลาดหัวทิ่มลงไปในโองดิ้นขลุกขลักอยู่ จะขึ้นก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ออกทุรนทุราย ฝ่ายย่าอยู่ในครัวได้ยินเสียงหลานดิ้นจึงรีบออกมาดูเห็นแต่เท้าโผล่ออกมาจึงรีบคว้าหลานขึ้นจากโอ่ง อนิจจา....สายเกินไปเสียแล้วเด็กน้อยขาดใจตายเสียแล้ว
หญิงชราตกใจแทบสิ้นสติ ได้แต่กอดศพหลานร้องไห้คร่ำครวญปิ้มว่าจะขาดใจ เพื่อนบ้านเดินทางผ่านมาจึงแวะเข้าไปดูเห็นหญิงชรากอดศพหลานร้องไห้อยู่ สอบถามดูก็รู้สาเหตุจึงให้คนไปตามเอาลูกชายลูกสะใภ้ของหญิงชราให้กลับมาบ้าน
ที่วงการพนันเจ้าทองร่ำสุราได้ที่เข้าเล่นการพนันกำลังเสียอารมณ์ไม่ดี พอมีคนไปส่งข่าวว่าลูกชายตายจึงรีบกลับบ้านด้วยความเสียใจ มาถึงบ้านเห็นแม่กับเมียร้องไห้อยู่ข้างศพลูกชายท่ามกลางเพื่อนบ้าน เจ้าทองยิ่งเสียใจบวกด้วยความเมาและอารมณ์เสียจากพนันจึงเอะอะตึงตังตะคอกถามแม่ด้วยเสียงอันดังถึงสาเหตุที่ลูกของตนทำไมจึงตกน้ำตาย
ผู้เป็นแม่เห็นเจ้าทองเอะอะขึงขังเสียงดังก็ใจคอไม่ค่อยดี ปากคอสั่นจับต้นชนปลายไม่ถูก เพื่อนบ้านจึงเล่าให้ฟังแทน เมื่อรู้เรื่องแทนที่เจ้าทองจะระงับยับยั้งอารมณ์กลับมีโมโหโทสะเพิ่มขึ้น ชี้หน้าด่าแม่อย่างเดือดดาลว่าไม่ดูแลหลานให้ดี แม่ได้แต่ตกใจกลัวตัวสั่น
เจ้าทองลืมตัวขาดสติยับยั้งชั่งใจกระชากมีดเหน็บอยู่ข้างฝาบ้านตรงเข้าไปหมายจะฆ่าแม่ให้ตายด้วยความแค้น เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขัดขวางจับกุมไว้ พร้อมว่ากล่าวเตือนสติ แต่เจ้าทองหน้ามืดตาลายเสียแล้วออกแรงสะบัดดิ้นจนหลุดกระโจนเงื้อมีดเข้าหาแม่
หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงออกวิ่งหนีจากบ้าน ไอ้ลูกเนรคุณยังไม่ลดละไล่กวดตามแม่ไปติดๆอย่างไม่ลดละ หญิงชราวิ่งกระเซอะกระเซิงหนีตาย ดีแต่เจ้าทองยังไม่สร่างเมาดีจึงวิ่งเปะปะตามแม่ไม่ค่อยจะทัน เพื่อนบ้านเห็นเหตุการณ์พยายามจะขัดขวางแต่ถูกเจ้าทองป่ายมีดวืดวาดเข้าใส่ ต่างก็กระเจิดกระเจิงออกไปทุกทิศ เจ้าทองออกตามแม่ไปอย่างกระชั้นชิด
หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงหนีเข้าวัดหวังพึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยด้วยเป็นเขตอภัยทาน เข้าไปหาสมภารที่กุฏิร่ำร้องให้ช่วยสงเคราะห์แก่สัตว์ผู้ตกยาก สมภารเข้าขวางหมายเตือนสติพยายามเทศนาสั่งสอนให้รู้จักชั่วดีว่า การฆ่าพ่อฆ่าแม่นั้นเป็นบาปมหันต์ พ่อแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงเรามากว่าจะเติบโตแสนจะลำบาก แต่เจ้าทองหาไดเชื่อฟังไม่กลับตรงเข้าไปผลักท่านสมภารจนเซถลาตรงเข้าไปจะฆ่าแม่ที่แอบอยู่ข้างหลังอีก
หญิงชราอาศัยจังหวะที่เจ้าทองยังช้าอยู่วิ่งออกจากกุฎิหมายเข้าไปที่โบสถ์ปิดประตู เจ้าทองออกวิ่งตามไปติดๆหวุดหวิดจวนเจียน หญิงชราก้าวขาเข้าโบสถ์ เจ้าทองเงื้อมีดหมายจะฆ่า
ฟ้าดินก่อปาฏิหารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าข้างคนดีลงโทษคนชั่ว ฉับพลันพื้นดินที่เจ้าทองเหยียบอยู่พลันก็แยกออกจากกันเหมือนทานน้ำหนักคนชั่วไม่ไหว ลูกทรพีตกใจสุดขีดร่างร่วงลงไปในรอยแยกมีดหลุดจากมือสร่างเมาโดยฉับพลันแถมแผ่นดินนั้นกลับหนีบตัวเอาไว้ เจ้าทองพยายามดิ้นให้หลุดแต่ดินนั้นยังคงดูดเจ้าทองลงไปเรื่อยๆ ยิ่งดิ้นยิ่งดูดเจ้าทองตาสว่างได้คิดถึงบาป-บุญว่ามีจริง ตนเจอบาปกรรมตามทันจึงเกิดความกลัวแหกปากร้องเรียกให้คนช่วยเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหวด้วยกลัวตาย
หญิงชราผู้เป็นแม่หนีเข้าโบสถ์ได้ก็ปิดประตูรอดตาย แต่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของเจ้าทองก็แปลกใจแง้มประตูออกดู เห็นเจ้าทองถูกธรณีสูบก็ตกใจเข้าใจทุกอย่างทันที ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่เกิดความเป็นห่วงกลัวลูกจะตาย ลืมไปแล้วว่าเพิ่งถูกลูกทรพีคนนี้ไล่ฆ่าจนเอาชีวิตแทบไม่รอดมาหยกๆ ( นี่แหละหนอ ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ) รีบเปิดประตูโบสถ์ถลาออกมาดูลูกทันที
เจ้าทองเห็นแม่ออกมาหา ถึงกับน้ำตาร่วงร้องไห้โฮด้วยสำนึกผิด กราบเท้าแม่สารภาพผิด หญิงชราคว้าแขนลูกชายหมายจะดึงให้พ้นจากพื้นดินที่ดูดแต่ก็หาได้ขยัยเขยื่อนไม่ ผู้เป็นแม่หมดปัญญาก็ไปขอร้องให้พระในวัดมาช่วย พอดีชาวบ้านตามมาทันนางก็ขอให้ช้วยลูกชั่วของตนให้พ้นภัย
ท่านสมภารให้ชาวบ้านทำขันธ์ ๕ ให้เจ้าทองขอขมาโทษแม่และฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้กระทำชั่วล่วงเกินแม่ และขอให้แม่ธรณียกโทษให้ หญิงชราผู้เป็นแม่ยกโทษอโหสิกรรมให้ ชาวบ้านจึงช่วยกันฉุดเอาเจ้าทองขึ้นจากดิน แต่ไม่ว่าจะฉุดกระชากลากดึงอย่างไรก็หาขยับเขยื่อนไม่มีแต่จะจมลงๆ ชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาเป็นขุดดินออก
แต่แปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนสวรรค์ลงโทษซ้ำ ดินนั้นกลับแข็งเหมือนเหล็กจนจอบเสียมที่ขุดกระเด็นดีดออกมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมยกโทษให้
ในที่สุดก็จนปัญญาที่จะช่วยเจ้าทองได้แม่และเมียจึงได้นิมนต์ท่านสมภารให้เทศนาโปรดเจ้าทองเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าลูกทรพีสำนึกผิดฟังเทศน์ด้วยอาการสงบน้ำตานองหน้า ร่างก็จมลงเรื่อยๆ เจ้าทองทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืน ก็สิ้นใจตายพร้อมกับร่างจมลงหมดแผ่นดินก็ปิดเหมือนเดิม ท่ามกลางความโศกเศร้าสังเวชใจของชาวบ้านที่พบเห็น
*-* เรื่องนี้คุณอนุชาติ อินทรพรหม บอกว่าได้รับฟังจากแม่และญาติผู้ใหญ่อีกที เหตุการณ์นี้คงเตือนสติท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย *-*