โหราศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่มีอายุยาวนาน เชื่อกันว่าแต่แรกเริ่มนั้นถือกำเนิดจากชนชาวอียิปต์โบราณ ด้วยเป็นชนชาติแรกๆ ที่ทำการบันทึกแนวการเคลื่อนตัวของดวงดาว
ต่อมา...ได้มีการบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆทั้งเรื่องของบ้านเมือง,วิถีชีวิตบุคคลเป็นปูมโดยอิงลักษณะการเดินทางโคจรของดวงดาวและเหตุการณ์ผิดปกติบนฝากฟ้าเช่นดาวตก และได้สืบทอดต่อเนื่องกันมาผ่านประเทศอินเดีย มาสู่ประเทศไทยใน สมัยพระนารายณ์มหาราช
ในสมัยโบราณนั้น ผู้ใช้โหราศาสตร์มักเป็นขุนนางที่ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อศึกษาศาสตร์เหล่านี้ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย และมักเน้นในการพยากรณ์เรื่องเกี่ยวกับในราชสำนักหรือบ้านเมือง
สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน โหราศาสตร์ได้รับความนิยมและเผยแพร่สู่สามัญชน อย่างไรก็ดีโหราศาสตร์เป็นหลักสถิติ มีการบันทึกเขียนเป็นตำราหลายรูปแบบ และมีการพัฒนาในการอ่านค่าสถิติอย่างพิศดาร เพื่อให้ทันยุคทันเหตุการณ์
: ประวัติและพัฒนาการวิชาโหราศาสตร์ไทย
เรื่องประวัติที่แท้จริงและพัฒนาการนั้น อาตมาเกิดไม่ทันหรอก เพียงแต่อาศัยรวบรวมเรื่องราวที่ได้ยินจากผู้ใหญ่หรือบันทึกต่างๆ ขึ้นมา หากจะผิดถูกอย่างไร ก็ให้คิดเสียว่า เป็นทัศนะหนึ่งของอาตมาเท่านั้น ในทัศนะของอาตมา ปรัชญาที่มาของหราศาสตร์นั้น มีอยู่ ๒ ระบบ คือ ปรัชญาแรกที่มองจากสิ่งแวดล้อมใหญ่มาหาเล็ก และ ปรัชญาที่สอง ที่มองจากปัจจัยที่เล็ก มาเพิ่มเติมด้วยปัจจัยประกอบอื่นๆ เพื่อมองภาพให้ใหญ่ขึ้น
ในปรัชญาแรกนั้น อยู่บนพื้นฐานของปรากฎการณ์ทางธรรมชาติมาสู่ตัวบุคคล
ในระบบนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์ในกลุ่มอดีตที่เก่าแก่ เช่น การสร้างปิรามิด, การวางผังเมืองของชนเผ่าอินคา ฯลฯ ที่ยังเหลืออยู่ที่เห็นชัดที่สุดคือ โหราศาสตร์จีน ที่เอาสภาพแวดล้อม ถิ่นที่อยู่ ฤดูกาล เป็นตัวตั้ง แล้วมาใช้ดาว ธาตุ ดวงชะตา มาประกอบ
ในส่วนของปรัชญาที่สองนั้น ใช้มุมมองโดยการเก็บเอาผลลัพธ์หรือสถิติของปรากฎการณ์ธรรมชาติ มาเป็นหลัก เช่น ดวงชะตา,ฟ้าร้อง, อุปราคา ฯ มาเป็นปัจจัยอ้างอิง แล้วมาใส่ข้อมูลของปัจจัยสิ่งแวดล้อมเข้าไปเพิ่มเติม เพื่อให้พิจารณาได้ชัดขึ้น เช่น เชื้อชาติ, ถิ่นที่อยู่, ชื่อ, ที่พักอาศัย ฯลฯ ถ้าจะทำความเข้าใจให้ง่าย ขอให้นึกถึงเรื่อง ที่ท่านเจ้าอาวาสวัดราชา ได้กราบทูล รัชกาลที่ ๔ ถึงเรื่องดวงชะตาเปรียบเสมือนต้นไม้ที่เกิดบนเขา กลางเขา และตีนเขา ย่อมแตกต่างกัน
ซึ่งโหราศาสตร์ในแนวปรัชญาที่สองที่อาตมาได้พูดถึงนี้ คือแนวทางของบรรดาโหราศาสตร์สากล โหราศาตร์ภารตะ โหราศาสตร์มอญ-ไทย ในปัจจุบันนี้ โหราศาสตร์ไทยนั้นมีหลักฐานการพัฒนามาจากโหราศาสตร์ภารตะ ดังนั้นจึงขอพูดถึงโหราศาสตร์ภารตะอย่างย่อด้วย ก่อนที่จะมาเป็นโหราศาสตร์ภารตะ ไม่ว่าจะเป็น Vedic หรือ Karma Astrology แบบทุกวันนี้
ในกาลสมัยก่อนที่จะได้มีชื่อประเทศอินเดียเกิดขึ้นนั้น ดินแดนดังกล่าวเป็นของพวกชนถิ่นพื้นเมือง พวกทมิฬและพวกทราวิเดียน ซึ่งนับถือบูชาเทพพวกกึ่งสัตว์ เช่น ช้าง ยักษ์ งู ฯ ต่อมาประมาณ ๕,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาล (เป็นอย่างน้อย) างพวกชนชาติอารยันจากเอเชียกลางก็ได้บุกรุกเข้าไปครอบครองดินแดนทางเหนือของแม่น้ำสินธุในแคว้นปัญจาบ พร้อมทั้งได้นำเอาเทพเจ้าของตนเข้าไปปกครอง โดยให้บูชาเทวะ พระอินทร์ และได้เรียกนามประเทศขึ้นเป็น ประเทศอินเดีย
ในกฤตยุค สมัยราชวงศ์ปุรุราชหรือมหาสมมุติราช ลำดับกษัตริย์องค์ที่ ๒๑ คือ พระเจ้าภรตราช โอรสท้าวทศยันต์และมีมเหสีนาม ศกุนตลา บุตรีของมหาฤาษีวิศวามิตรกับนางอัปสร นั้น ทางมหาฤาษี กัณณวะ ได้รวบรวม ศรุติ ขึ้นมาเป็นคัมภีร์ ฤคเวท ใช้เป็นคู่มือของพวกพราหมณ์นิกายโหรดา ในสมัยของไตรดายุคต่อมานี้ ได้เริ่มมีการทำพลีกรรมมากขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงด้านตำแหน่งและสิทธิอำนาจของกลุ่ม เทวะ เดิม จากกลุ่มพระอินทร์และปรพรหม มาเป็น องค์พรหมธาดา แล้วเปลี่ยนเทพ รุทระอันเป็นเทพแห่งพายุเดิม มาเป็น องค์ศิวะเทพแห่งขุนเขาไกรลาส และ องค์วิษณุแห่งทะเลเกษียรสมุทร จึงได้เกิด คัมภีร์ โสมเวท อันเป็นคู่มือสวดของพวกพราหมณ์นิกายอุททาคา และคัมภีร์ ยัชุรเวท อันเป็นคู่มือทำพลีกรรมของพวกพราหมณ์นิกายอัธวรรยุ จึงเรียกว่า คัมภีร์ไตรเพท และศาสนาพราหมณ์ขึ้น
ในระยะต่อมา ได้มี อถรรพพราหมณ์ ได้รวบรวมศรุติอันเป็นมนต์เสกเป่า ๒ ประเภท คือ มนต์ดำสำหรับแก้เสนียด ให้เปลี่ยนเป็นสวัสดิมงคล ประการหนึ่ง และ มนต์สำหรับนำความชั่วร้ายและภัยพิบัติไปให้ศัตรู อีกประการหนึ่ง คัมภีร์นี้เรียกว่า
อถรรพเวท กล่าวมาถึงตอนนี้ หลายท่านคงจะเริ่มเบื่อว่ามาอธิบายถึงเรื่องลัทธิพราหมณ์ทำไม? ตอนนี้ ขอให้ลองย้อนกลับไปอ่านนิทานชาติเวร เรื่องแรกของโหราศาสตร์ไทยดูนะ ที่ว่า พระอาทิตย์ (๑) เกิดเป็นพญาครุฑอยู่เขาสัตตปริพันธ์ พระพฤหัสบดี (๕) เกิดเป็นพระอินทร์อยู่เขาพระสุเมรุ พระเสาร์ (๗) เกิดเป็นพญานาคอยู่ในมหาสมุทร และ พระอังคาร (๓) เกิดเป็นพญาราชสีห์อยู่ป่าหิมพานต์ ได้ร่วมกันที่จะสร้างสระน้ำไว้ให้เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์และเทวดา โดยมีพระราหู (๘) เป็นตัวร้าย นั้น จากนิทานชาติเวรเรื่องนี้ ส่อเค้าว่า น่าจะเป็นเรื่องที่เก่าที่สุดที่มาจากอารยธรรมของพวกอารยันในยุคแรกเริ่มของประเทศอินเดียก่อนมีศาสนาพราหมณ์
ที่บูชา พระอินทร์เป็น มหาเทพ นี่แหละครับ ร่องรอยประวัติโหราศาสตร์ไทย
ขอพูดต่ออีกนิดนึงนะ ในยุคต่อมา ทางพวกพราหมณ์ได้เรียบเรียงคัมภีร์ไตรเพท โดยจัดทำอรรถขึ้นมาเป็นสูตรแบ่งออกเป็น ๖ เวทางค์ (องค์แห่งเวท) หนึ่งในเวทางค์นั้นคือ วิชาโชยติษะ หรือ วิชาโหราศาสตร์ นั่นเอง ซึ่งคัมภีร์วิชาโชยติษะอันเป็นโหราศาสตร์อินเดียที่ได้ตกทอดมายังประเทศไทยที่ยังหลงเหลืออยู่นี้ประมาณ ๒๐ เล่ม เช่น คัมภีร์สูรยสิทธานตะและคัมภีร์พฤหัตสังหิตาของ วราหมิหิร มหาบัณฑิต,
คัมภีร์ศุกรนีติสาระ(คัมภีร์พิชัยสงครามของพระศุกรมหาฤาษี),คัมภีร์ภฤคุปรัศนัม (ตำราศุภฤกษ์ศุภยามของพระภฤคุ มหาฤาษี) ฯลฯ เป็นต้น
วิชาโหราศาสตร์ของพวกพราหมณ์นี้ ยังได้มีหลักฐานปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก ในบทว่าด้วยมหาศีล ซึ่งได้เคยเขียนรายละเอียดไว้ในนิตยสารโหราเวสม์เอาไว้แล้ว
วิชาโหราศาสตร์โบราณทั้งจากสมัยกลุ่มอารยัน, กลุ่มศาสนาพราหมณ์ และ บางส่วนที่แฝงอยู่ในกลุ่มพระภิกษุผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา คงได้ตกทอดเข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิมาเป็นระยะๆ ไม่น้อยกว่า ๔-๕ ครั้ง จนกระทั่ง พุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา วิชาโหราศาสตร์ดังกล่าวก็ได้ถูกพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นหลักวิชาที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง โดยไม่ได้ดำเนินตามรอยของพวกพราหมณ์อินเดียอย่างเคร่งครัดอีกต่อไป
ร่องรอยวิชาโหราศาสตร์ไทยนอกจากเรื่องนิทานชาติเวรเรื่องแรกแล้ว อาจจะศึกษาเพิ่มเติมได้จากตำราอื่นๆ ทางพระพุทธศาสนา อาทิเช่น นิทานปัญญาสชาดกของเมืองเหนือ เป็นต้น และจากเอกสารประวัติศาสตร์โบราณคดี อื่นๆ
การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทย
วิชาโหราศาสตร์ไทย แต่ดั้งเดิมนั้นกล่าวกันว่า มีอยู่มากกว่า ๒๗๐ ปกรณ์ แบ่งออกเป็น ๓ ภาค คือ
(ก) โหราศาสตร์ไทยภาคคำนวณ - มีปกรณ์ต่างๆมากกว่า ๕๐ ปกรณ์ ขึ้นไป จำแนกได้ดังนี้
(๑.๑) ตำราสุริยยาตร มีประมาณ ๗-๘ ฉบับ
(๑.๒) ตำรามานัตต์ มีประมาณ ๔-๕ ฉบับ
(๑.๓) ตำราสารัมภ์ มีประมาณ ๑๐ กว่า ฉบับ
(๑.๔) ปกิณกะภาคคำนวณ มีประมาณ ๒๐ กว่าฉบับ เช่น ตำรากากะบาด, ตำราสงกรานต์, ตำราอธิกวาร ฯลฯ
(ข) โหราศาสตร์ไทยภาคพยากรณ์ - มีปกรณ์ต่างๆมากกว่า ๒๐๐ ปกรณ์ ในภาคนี้แบ่งออกได้เป็น ๒ ตอน คือ
(๒.๑) โหราศาสตร์ดวงเมือง มีประมาณ ๖๐ ปกรณ์
ประกอบด้วยการพยากรณ์ดวงชะตาพระมหากษัตริย์, ว่าด้วยการสร้างบ้านแปงเมือง, การพยากรณ์เกี่ยวกับเมืองและศึก, การพยากรณ์เศรษฐกิจข้าวปลาอาหาร, การพยากรณ์ดวงนักบวชและพระภิกษุ ฯลฯ ยังแบ่งย่อยการพยากรณ์ออกได้อีก ๒ แบบ คือการพยากรณ์ปูมกำเนิด กับ การพยากรณ์จร เช่น ตำราเผด็จรามเหิยร, ตำรานครภังส์, ตำราราชมัญตัญ, ตำรานครถาน, ตำราพิไชยสงคราม, ตำราธุมเกตุธุมเพลิง, ตำราดาวหาง(ดาวพรหมปโรหิตา), ตำราเทวดาไขประตูฟ้า, ตำราคลองฟ้า, ตำราดาวเข้าวงพระจันทร์, ตำรามหาปุริสสลักษณะ,ตำราดาวผุดกลางวัน, ตำราโสฬสมหานคร, ตำราพระนครคิรี, ตำราโชติรัตน์, ตำราพิธีสะเดาะเคราะห์เมือง, ตำราจุฬามณี,
ตำราพิรางค์ ฯลฯ
(๒.๒) โหราศาสตร์ภาคพยากรณ์ดวงบุคคล มีประมาณ ๑๕๐ ปกรณ์
แยกเป็น โหราศาสตร์ภาคปูมกำเนิด ประมาณ ๕๐ ปกรณ์ และ หราศาสตร์ภาคพยากรณ์จร ประมาณ ๑๐๐ ปกรณ์ เช่น ตำราอินทภาสบาทจันทร์, ตำรากาลจักรลัคน์จร, ตำราอสีติธาตุ, ตำราอสีติโชค, ตำรามหาสัฏฐีจักร, ตำรายาม, ตำราอัษการ, ตำราฆาตมฤตยู, ตำราขับจันทร์ประวัติ, ตำราพระเคราะห์รูป-พระเคราะห์สม, ตำราเสบียงโหรา, ตำราลักขณาทวาทศมาส, ตำรามหาทักษา, ตำราทักษาปกรณ์, ตำราโลกศาสตร์, ตำราสุบินนิมิต, ตำราจักรทีปนี ฯลฯ
(ค) โหราศาสตร์ไทยภาคพิธีกรรม - ภาคนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นคำสอนประเภทมุขปาฐะตามแนวอาจาริยมัติคือเป็นคำอธิบายปากเปล่าประกอบคำสอนภาคพยากรณ์
ซึ่งแล้วแต่แนวทางของอาจารย์แต่ละสำนักที่ได้ศึกษากันมา โดยอาจจะแตกต่างกันพอสมควร ในส่วนที่เป็นบันทึกตำราก็มีบ้างราวๆ ๓๐ ปกรณ์ เช่น ตำราราชพิธีพราหมณ์สำหรับสยามประเทศ, ตำรานามกรรม, ตำราผลัดนาม, ตำราตัดไม้ข่มนาม, ตำราอธิไทโพธิบาทว์, ตำราทำอุบาทว์, ตำราเชิญ, ตำราบูชานพเคราะห์, ตำราสะเดาะเคราะห์, ตำราดวงพิชัยสงคราม, ตำราบูชาดวงชะตากำเนิด ฯลฯ
ขอแบ่งช่วงเวลาในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยออกเป็น ๕ ช่วงด้วยกัน
(๑) ช่วงก่อน พ.ศ.๒๔๗๕
ช่วงนี้ มักเรียนกันตามวัดหรือบ้านข้าราชการที่เกี่ยวกับกรมโหรหรือตามวังเจ้านายชั้นสูงต่างๆ
เป็นการเรียนไปตามลำดับและยึดแบบแผนของอาจาริยมัติอย่างเคร่งครัด
เป็นการศึกษาทั้งจากการคำนวณบนกระดานและศึกษาจากการดูดาวบนท้องฟ้าด้วย
(๒) ช่วง พ.ศ. ๒๔๗๕ พ.ศ. ๒๕๑๐
ช่วงนี้เริ่มมีปูมปฏิทินโหรบางแบบออกจำหน่าย เริ่มมีการตื่นตัวศึกษาโหราศาสตร์
ทั้งแบบไทยและต่างประเทศ (เป็นโหราศาสตร์สากลแบบดวงโปรเกรสไม่ใช่ยูเรเนียน) มีการจับกลุ่มผู้สนใจโหราศาสตร์
เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะกันอย่างกว้างขวาง และได้จัดตั้งสมาคมโหรแห่งประเทศไทยขึ้น การศึกษาโหราศาสตร์ไม่จำกัดอยู่ที่ตาม
วัด หรือบ้านข้าราชการแล้ว เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาจากตัวบุคคลนักโหราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและเรียนกันเฉพาะบางแง่มุม
หรือบางแนวทางเป็นส่วนใหญ่
(๓) ช่วง พ.ศ. ๒๕๑๑ พ.ศ. ๒๕๒๐
สมาคมโหรแห่งประเทศไทยได้เปิดสอนโหราศาสตร์แก่บุคคลทั่วไป เป็นรุ่นแรก นักศึกษารุ่นแรกนี้ที่มีชื่อเสียงก็เช่น
อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา ฯ เป็นต้น ได้มีการกำหนดแบบแผนขึ้นเป็นหลักสูตร หากใครสนใจในวิชาชั้นสูง
ก็ต้องแยกไปเรียนเป็นส่วนตัวจากอาจารย์แต่ละท่านต่างหากออกไป ในช่วงนี้ ความเห็นของนักโหราศาสตร์แตกเป็นหลายพวก
มีการแยกตัวไปเป็น กลุ่มวัดราชบพิธบ้าง กลุ่มวัดโพธิ์บ้าง กลุ่มวัดสุทัศน์บ้าง กลุ่มวัดราชประดิษฐ์บ้าง กลุ่มวัดมหาธาตุบ้าง
กลุ่มวัดบุญศิริอำมาตย์บ้าง จนในที่สุดได้มีการแยกไปตั้งเป็น สมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และ กลุ่มสหพันธ์โหร ฯลฯ
ในช่วงนี้ มีปฏิทินโหรให้เลือกซื้อหาใช้ได้ ตามแต่ความพอใจ ในแนวทางการพยากรณ์ที่จะใช้ เช่น โหราศาสตร์สากลยุคนี้
นิยมใช้ปฏิทินแบบราฟาเอลมากกว่าแบบลาหิรี เป็นต้น ตำราโหราศาสตร์ที่มีอยู่นั้นมักจะเป็นเรื่องซ้ำๆกัน
และไม่ค่อยมีหลักคำอธิบาย จึงใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่ได้เพียงแค่เป็นเสมือนพจนานุกรม หรือแผ่นลายแทงเท่านั้น
ยังไม่สามารถนำมาใช้ศึกษาได้กว้างขวาง นอกจากต้องมีคำอธิบายของครูผู้แต่งหนังสือเล่มนั้นๆมาประกอบด้วย
การศึกษาโหราศาสตร์ในช่วงนี้ ส่วนใหญ่ ยังต้องยึดเอา ตัวครู
เป็นหลักอยู่หรือใช้การไต่ถามขอความรู้จากบรรดานักโหราศาสตร์เลื่องชื่อทั้งหลาย
(๔) ช่วง พ.ศ. ๒๕๒๑ พ.ศ.๒๕๔๐
ในช่วงนี้ มีตำราโหราศาสตร์พร้อมคำอธิบายหลายแบบให้เลือกซื้อหาได้ ตามแต่ความพอใจ ดังนั้น
การศึกษาจึงเริ่มเปลี่ยนแนวทางจากการไปศึกษาขอคำอธิบายจากครูนักโหราศาสตร์อาวุโส เพื่อจะได้ฟังมุขปาฐะ มาเป็น
การใช้ หนังสือตำราโหราศาสตร์เล่มต่างๆ มาเป็น ตัวครู ผู้สอนแทน และ ใช้สติปัญญาความคิดหรือทัศนะของตนเอง
เข้ามาเป็น หลักตัดสิน บรรดา กฎโหราศาสตร์ ในหนังสือตำราโหราศาสตร์เล่มนั้นๆ
การศึกษาในระบบ เอา หนังสือตำราโหราศาสตร์ มาเป็นครูนี้ ถ้าตัดสินใจถูก ก็ดีไป แต่ถ้าข้อความในตำรานั้นไม่
ชัดแจ้งผู้ศึกษาก็มักเข้ารกเข้าพงไปเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้พบเห็นมามากกว่า ๘๐%
(๕) ช่วง พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ถึงปัจจุบัน
การศึกษาโหราศาสตร์ในยุคปัจจุบัน คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมา ระบบอิเลคโทรนิคส์ คอมพิวเตอร์ และ
อินเตอร์เน็ต ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แนวทางการศึกษาโหราศาสตร์แบบเอาหนังสือเป็นครูเริ่มเปลี่ยนไป
โดยเปลี่ยนไปสู่การศึกษาการใช้โปรแกรมประมวลผลทางด้านโหราศาสตร์แทน
